NR Rubber Compound กับการต่อยอดสู่อุตสาหกรรมยางล้อจักรยานและมอเตอร์ไซค์ไทย
ประเทศไทยคือผู้ผลิตและผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีปริมาณการผลิตน้ำยางธรรมชาติมากกว่า 4 ล้านตันต่อปี แต่ในเชิงมูลค่าเพิ่ม ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกยางดิบเป็นหลัก ซึ่งมีราคาผันผวนตามตลาดโลก ปัญหานี้ทำให้ผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่และ SMEs ต้องหาหนทางเพิ่มมูลค่าให้กับยางพารา หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือการพัฒนา NR Rubber Compound หรือ ยางคอมพาวด์จากยางธรรมชาติ ที่ถูกปรับสูตรให้เหมาะสมกับการใช้งานในผลิตภัณฑ์ยางล้อ โดยเฉพาะ ยางล้อจักรยานและมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่องในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
สถานการณ์ตลาดยางล้อจักรยานและมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทย
ตลาดมอเตอร์ไซค์
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้บริโภคมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน มียอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์ใหม่เฉลี่ยกว่า 1.5–1.7 ล้านคันต่อปี ยางล้อมอเตอร์ไซค์เป็นสินค้าสำคัญที่มีการเปลี่ยนถ่ายตามอายุการใช้งาน (เฉลี่ย 18–24 เดือน) ส่งผลให้ความต้องการยางล้อมีความต่อเนื่อง
ตลาดจักรยาน
การใช้จักรยานเพื่อการสัญจรและการออกกำลังกายขยายตัวในกลุ่มเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิด-19 ที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ตลาดยางล้อจักรยานในไทยมีทั้งกลุ่มผู้ผลิตท้องถิ่นและการนำเข้าจากต่างประเทศ
โอกาสของอุตสาหกรรมยางในประเทศ
- ตลาดในประเทศมีฐานผู้บริโภคชัดเจน
- ตลาดส่งออกมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่มีความต้องการมอเตอร์ไซค์สูง
- NR Rubber Compound: ทำไมจึงเหมาะกับยางล้อสองล้อ
- NR Rubber Compound คือยางธรรมชาติที่ถูกปรับสูตรผสมสารเคมี เสริมแรงด้วย Carbon Black หรือ Silica และผ่านกระบวนการ Vulcanization เพื่อเพิ่มความทนทาน คุณสมบัติที่โดดเด่น ได้แก่:
- ความยืดหยุ่นสูง (High Elasticity): ทำให้ยางล้อซับแรงกระแทกได้ดี
- ความทนแรงดึงและแรงฉีกขาดสูง: ป้องกันการฉีกหรือแตกเมื่อเจอแรงกดอย่างต่อเนื่อง
- การยึดเกาะถนนดี (Good Grip): ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
- สมดุลระหว่างความนุ่มนวลและความแข็งแรง: ตอบโจทย์ทั้งจักรยานและมอเตอร์ไซค์
- เหมาะกับการใช้งานเขตร้อน: NR มีความสามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นได้ดีกว่ายางสังเคราะห์หลายชนิด
สูตรคอมพาวด์ที่ใช้ในยางล้อจักรยานและมอเตอร์ไซค์
ยางล้อจักรยาน
- ใช้ NR ผสม SBR เพื่อเสริมความทนทานต่อการสึกหรอ
- เติม Silica เพื่อลด Rolling Resistance และทำให้ปั่นเบา
- สูตรสำหรับจักรยานเสือหมอบจะเน้นความแข็งแรงและการเกาะถนน ส่วนจักรยานเสือภูเขาจะเน้นการดูดซับแรงกระแทก
ยางล้อมอเตอร์ไซค์
- ใช้ NR เป็นหลัก เสริมด้วย Carbon Black เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและอายุการใช้งาน
- อาจผสม CR หรือ NBR เล็กน้อยเพื่อเสริมการทนต่อน้ำมัน (จากน้ำมันหล่อลื่นบนถนน)
- ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มอก. 2396 และ ECE R75
มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
- มอก. 2396-2551 (ประเทศไทย): มาตรฐานความปลอดภัยยางล้อมอเตอร์ไซค์
- ISO 5775: มาตรฐานการระบุขนาดยางล้อจักรยาน
- ECE R75 (ยุโรป): มาตรฐานยางล้อจักรยานและมอเตอร์ไซค์ในสหภาพยุโรป
- ASTM D412 / D624: มาตรฐานการทดสอบแรงดึงและแรงฉีกของยางคอมพาวด์
แนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจ
- การเปลี่ยนจากยางนำเข้าเป็นยางผลิตในประเทศ
- ผู้ผลิตยางล้อบางรายยังนำเข้ายางคอมพาวด์หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ
- SMEs ไทยสามารถพัฒนาสูตร NR Rubber Compound คุณภาพสูง เพื่อลดการนำเข้า
- ตลาดทดแทน (Replacement Market)
- ยางล้อจักรยานและมอเตอร์ไซค์มีการเปลี่ยนทุก 1–2 ปี
- สร้างโอกาสยอดขายต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
- ตลาดส่งออก CLMV และอาเซียน
- มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะหลักใน CLMV
- ไทยสามารถใช้จุดแข็งด้านวัตถุดิบ NR และการผลิต เพื่อส่งออกยางล้อสำเร็จรูป
- การพัฒนา Eco Tires สำหรับสองล้อ
- แนวโน้มการพัฒนายางล้อประหยัดพลังงาน (Rolling Resistance ต่ำ) เริ่มเข้ามาในตลาดสองล้อ
- โอกาสใหม่สำหรับผู้ผลิตยางคอมพาวด์ในการพัฒนาสูตรที่ตอบโจทย์
-
กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการไทย
ลงทุนใน R&D สูตรคอมพาวด์: เน้น NR + SBR หรือ NR + Silica เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม
ทำงานร่วมกับผู้ผลิตยางล้อ: เสนอสูตรคอมพาวด์คุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้
สร้างแบรนด์ยางคอมพาวด์ไทย: จาก “ผู้ผลิตวัตถุดิบ” ไปสู่ “ผู้พัฒนาสูตร” ที่มีมาตรฐานสากล
พัฒนา Green Compound: แม้ตลาดยังเริ่มต้น แต่การนำเสนอยางล้อที่รักษ์สิ่งแวดล้อม จะช่วยให้ไทยเป็นผู้นำในภูมิภาค
การพัฒนา NR Rubber Compound สำหรับยางล้อจักรยานและมอเตอร์ไซค์ คือโอกาสสำคัญของอุตสาหกรรมยางไทยในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบธรรมชาติ ยางคอมพาวด์ที่พัฒนามาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่เพิ่มคุณภาพของยางล้อ แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก
การลงทุนใน นวัตกรรมสูตรคอมพาวด์ และการสร้างความร่วมมือกับผู้ผลิตยางล้อ คือกุญแจสำคัญที่จะผลักดันอุตสาหกรรมยางพาราของไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน